ในยุคของสปอร์ตเอนเตอร์เทนเมนต์ในปัจจุบัน ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า UFC คือหนึ่งในผู้ที่ประสปความสำเร็จเป็นอย่างมาก โดยในวงการศิลปะการต่อสู้ ที่ถูกถ่ายทอดผ่าน pay-per-view (PPV) หรือการจ่ายเพื่อรับชมคอนเทนท์ผ่านผู้ให้บริการ ซึ่งผู้ให้บริการก็ต้องปรับตัวเพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับเจ้าอื่นๆ และ สิ่งนี้ทำให้เกิดผลประโยชน์ในการต่อรองของ UFC สำหรับสัญญา PPV ในปี 2019

โดยแหล่งข่าว Sports Business Journal ของ UFC ได้กล่าวว่า ตอนนี้บริษัทกำลังอยู่ในการคุยข้อตกลงสำหรับสัญญาใหม่ สำหรับผู้ให้บริการ เคเบิลและดาวเทียม ซึ่งอาจจะได้ส่วนแบ่งมากถึง 70/30 เลยทีเดียว

ในปีที่ผ่านมา UFC และ บริษัทเคเบิล หรือ ดาวเทียม มีข้อต้อลงสัญญากันอยู่ที่ส่วนแบ่ง 50/50 ซึ่งก่อนหน้านั้นทาง UFC ได้เพียง 40/60 ก่อนที่จะมีซุปเปอร์สตาร์หลายๆคนของวงการ MMA ช่วยผลักดันให้มีอำนาจต่อรองมากขึ้น แน่นอน Conor McGregor คือหนึ่งในนั้น ที่สร้างสถิติทางด้านตัวเลขหลายๆอย่างให้กับ UFC รวมถึง PPV 2.4 ล้านคน ใน UFC 229 ซึ่งเค้าได้ขึ้นชกกับ Khabib nurmagomedov เราลองมาดูตัวเลขคร่าวๆที่จะเกิดขึ้นในปีหน้ากันครับ

ถ้าเราลองประเมินตัวเลขคร่าวๆราว 5,475,000 PPV ที่ UFC จะขายได้ในปีนี้ ในราคาประมาณ 70 ดอลล่าร์ ต่อ 1 PPV ซึ่งจะแบ่งเป็น 50/50 สำหรับรายได้ที่จะมาจาก เคเบิลและดาวเทียม UFC จะได้รายได้ประมาณ 163 ล้านดอลล่าร์ และ จากทางอินเตอร์เน็ตที่จะได้รายได้ 70/30 จะได้รายได้ประมาณ 40 ล้านดอลล่าร์ ก็คาดการณ์ได้ว่าปีนี้รายได้ของ UFC ผ่าน PPV จะตกอยู่ที่ 203 ล้านดอลล่าร์ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 6,090,000,000 = หกพันเก้าสิบล้านบาท)

และหากเรานำเอาตัวเลขนี้ไปใช้กับ ข้อตกลงในปีนี้ ที่จะเพิ่มส่วนแบ่งจากทาง เคเบิลและดาวเทียม เป็น 70/30 แล้วรายได้ของ UFC จะเพิ่มขึ้นเป็น 268 ล้านดอลล่าร์ หรือเพิ่มขึ้นราวๆ 65 ล้านดอลล่าร์ (ตีเป็นเงินไทยประมาณ 1,950,000,000 = หนึ่งพันเก้าร้อยห้าสิบล้าน) ซึ่งเป็นกำไรที่เพิ่มขึ้นมาจำนวนมากเลยทีเดียว

ก็เป็นที่น่าสนใจว่าในปีหน้า UFC จะมีอะไรใหม่ๆขึ้นมา เพื่อที่จะแข่งขันกับ รายการ MMA อื่นๆอย่าง ONE หรือ Bellator ที่ก็กำลังค่อยๆก้าวตามรอยขึ้นมาเรื่อยๆครับ โดยล่าสุดวันนี้ 12 ธันวาคม 2018 ทาง ONE Championship ก็เพิ่งประกาศเรื่องการเซ็นสัญญาในการถ่ายทอดสดรายการแข่งขัน ไปสู่ทีวีที่อเมริกา เช่นกัน