FIGHT & MARTIAL ARTS

รอบรู้สู้ภัย Fight Back Tactical - รู้ทันเจ้าสำนักมโนมาสเตอร์สุดอันตราย

02.02.2018

รอบรู้สู้ภัย Fight Back Tactical - รู้ทันเจ้าสำนักมโนมาสเตอร์สุดอันตราย

หลังจากที่มีเหตุการณ์สุดเสื่อมทรามที่จ้าวสำนักมโนมาสเตอร์วิชาดาบลวงโลกอย่าง เน โฮฟาทู ร่า ได้ถูกจับข้อหาทำอนาจารและข่มขืนเด็กผู้หญิงอายุ 10 ขวบ ทำให้เราได้เห็นประเด็นปัญหา ที่วงการศิลปะการต่อสู้รวมไปถึงวงการครูมวยเองได้เผชิญมาหลายสิบปีแล้วก็คือเรื่องของ ปรม จารย์หรือจ้าวสำนักที่เป็นภัยสังคมที่ใช้บทบาทความเป็นครูที่ควรเป็นบุคคลที่สังคมยกย่องเป็น ฉากหน้าในการหาเหยื่อ, ล่อลวงและกดดันหรือสร้างสภาพแวดล้อมให้คนอัปปรีย์เหล่านี้ สามารถหลอกลวงเอาเปรียบคนที่ขาดความรู้และสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจหรือในกรณีของ เน โฮฟาทูร่า ที่ใช้สถานะภาพของตัวเองในการก่อคดีต่ำทรามกระทำชำเราเด็ก


ขอบคุณภาพจาก ข่าวสด

วันนี้ทางผม admin Fightologist จึงขอเขียนบทความ series “รอบรู้สู้ภัย - Fight Back Tactical” ที่จะมาวิเคราะห์และให้ความรู้เกี่ยวกับการป้องกันตัวจากภัยสังคมต่างๆ โดยขอ ประเดิมด้วยบทความ

“วิธีสังเกตุจ้าวสำนักลวงโลกและครูมวยมโนมาสเตอร์ที่เป็นภัยสังคมอันตราย”

ปฏิเสธได้ยากว่า ในอุตสาหกรรมศิลปะการต่อสู้ที่มีทั้งโรงเรียนและสำนักเกิดขึ้นมากมายนั้น ย่อมมีทั้งสำนักและโรงเรียนที่ดีและไม่ดีปนอยู่ด้วยกัน และด้วยปูมหลังของศิลปะการต่อสู้ที่มัก จะมีความเป็นพิธีกรรมอยู่ไม่มากก็น้อย จนพูดได้ว่าสำนักหรือบางวิชานั้นแทบจะมีความเป็น ศาสนาหรือสมาคมลับ ที่เชิดชูตัวบุคคลดุจดั่งศาสดาและจ้าวลัทธิคนนึงเลยก็ว่าได้ บวกกับ สถานะภาพความเป็นครูและปรมาจารย์มักทำให้บุคคลเหล่านี้มีอำนาจหรือออร่าบางอย่างที่ ทำให้คนส่วนมากดดยเฉพาะลูกศิษย์มีความเคารพ, เกรงใจ จนถึงขั้นหวาดกลัวในบางกรณี ที่ เปิดโอกาสให้ครูหรือจ้าวสำนักบางคนสามารถใช้ประโยชน์จากอำนาจตรงนี้ในการเอาเปรียบ, หลอกลวงและทำร้ายคนได้


ขอบคุณภาพจาก ข่าวร้อนออนไลน์

สำหรับคนหลายๆคนที่ไม่มีความคุ้นเคยกับวงการศิลปะการต่อสู้ ก็อาจมีปัญหาในการแยกแยะ หรือมองเห็น sign อันตรายเหล่านี้ได้ แต่วันนี้เรามีวิธีที่เราสามารถใช้เป็นเกณฑ์ช่วงสังเกตุได้ว่า ครูศิลปะการต่อสู้, ครูมวย หรือ จ้าวสำนักไหนที่มีแนวโน้มจะเป็นตัวอันตราย หรือ สำนักไหนที่ มีความเป็นไปได้ว่าจะเป็นลัทธิที่ไม่น่ายุ่งเกี่ยวด้วยที่จะนำความฉิบหายมาสู่ชีวิตโดยในบทความ part 1 เราจะมาดูที่วิธีการสังเกตุลักษณะตัวบุคคลกันก่อนครับ ซึ่งจ้าวสำนักลวงโลกที่อันตราย มักจะมีคุณสมบัติหลายๆข้อดังต่อไปนี้:

จ้าวสำนักมีประวัติ background หลุดโลก


จ้าวสำนักพวกนี้มักมีประวัติศาสตร์ตัวเองหรือตัววิชาของตนที่มโนขึ้นมาเองที่ฟังดูเกิน จริง ยืนยันข้อเท็จจริงลำบากหรือไม่สามารถพิสูจน์ได้ (เช่นเรียนวิชานี้มาจากพระหรือ ฤาษีนิรนาม หรือไปได้รับการถ่ายทอดวิชาตอนหลงไปในหมู่บ้านลับแลที่หายสาปสูญไป แล้วอะไรบ้าๆแบบนี้เป็นต้น) เพราะธรรมชาติของคนที่มีจิตใจที่อ่อนแอ ขาดสิ่งยึดเหนี่ยว (ซึ่งคนกลุ่มนี้คือกลุ่มเป้าหมายหลักของสำนักลัทธิอยู่แล้ว) คนเหล่านี้จึงมักมีความ ต้องการแสวงหา fantasy ที่เหนือจริง และแสวงหาเพื่อนหรือผู้นำที่ดูไม่ธรรมดา ราวกับ เป็นเหมือน super hero คนนึงก็ว่าได้

จ้าวสำนักตั้งชื่อหรือยศพิเศษให้แก่ตัวเอง


เพราะจ้าวสำนักหรือจ้าวลัทธิพวกนี้หลายคนก็ไม่ได้เก่งหรือมียศสูงจริงๆ บางคนอาจถูก ตะเพิดออกมาจากสำนักเพราะความเพี้ยนหรือพฤติกรรมทรามๆ ไม่มีองค์กรหรือสถาบัน ไหนอยากยุ่งเกี่ยวด้วย ก็เลยตั้งสถาบันของตัวเองขึ้นมาแล้วสถาปนาตัวเองเป็นจ้าว สำนักระดับสูงๆซะเลย โดยที่ไม่ต้องขึ้นตรงกับใคร แถมคนส่วนมากที่ขาดการไตร่ตรอง หรือขี้เกียจหาข้อมูล แค่เห็นสายดำหรือตำแหน่งยศที่ดูสูงๆดูมีประสบการณ์ หรือดูแตก ต่างเหนือคนอื่น ก็ตื่นตาตื่นใจหลงเชื่อกันก็มี

จ้าวสำนักทำตัวเป็นเสมือนผู้วิเศษที่เข้าถึงลำบาก

ลักษณะของจ้าวลัทธิมักพยายามทำให้ตัวเองเข้าถึงยาก โดยอาจมีกลุ่มสาวกลูกศิษย์ที่ เป็นสาวกขั้นสูงหน่อย คอยทำหน้าที่เป็นตัวกันสร้างกำแพงให้ตัวจ้าวสำนักดูเป็นคน พิเศษเหนือคน ที่ไม่ใช่ใครๆก็จะเข้าถึงได้ trick นี้นอกจากจะช่วยสร้างภาพลักษณ์ให้ จ้าวลัทธิดูมีเรื่องราวหรือสถานะพิเศษในสายตาคนนอกแล้ว ยังสามารถใช้เป็นกลไกทาง จิตวิทยาที่จะสร้างแรงจูงใจเพื่อให้ลูกศิษย์และสาวกอุทิศตนหรือทุนทรัพย์เพื่อให้ได้มี โอกาสใกล้ชิดกับจ้าวสำนักที่เป็นเสมือน Idol ผู้วิเศษได้

ทำตัวเป็นผู้ให้ที่โอบอ้อมอารีย์ลูกศิษย์ตัวเองเหมือนหรือคล้ายครอบครัวเสมอ


ขอบคุณภาพจาก Jarm.com

จ้าวสำนักมักทำตัวเองเป็นเสมือนพ่อและอาจใช้ภาษาเรียกลูกศิษย์และสาวกเสมือนลูก และคนในครอบครัว ซึ่งอันนี้อาจดูเพี้ยนแต่จริงๆเป็น tactic ที่ในวงการศาสนาและลัทธิ นิยมทำกัน เพราะเป็นการใช้คำพูดและภาษาในการสร้างกลไกของการยอมรับและ enforce อำนาจให้เกิดขึ้นในระดับจิตใต้สำนึกของสาวก ดังที่ เน โฮฟาทูร่า มักเรียก ลูกศิษย์ว่าลูก หรือ เด็กผู้หญิงในสำนักว่า “เมีย” และให้เรียกตนว่า “ผัว” ก็เป็นตัวอย่าง ที่เห็นได้ชัด

นอกจากนี้พฤติกรรมการให้ด้วยความโอบอ้อมอารีย์แบบไม่มีเงื่อนไข (ในผิวเผิน) อาจ ถูกใช้เป็นกลยุทธในการหว่านล้อมเพื่อสร้างความผูกพันธ์เชื่อใจ หรือ ใช้เป็นกลไกใน การให้สาวกหรือลูกศิษย์รู้สึกเป็นหนี้บุญคุณจ้าวสำนัก ดังเช่นที่บางสำนักเปิดสอนฟรี หรือเข้าไปทำเหมือนกับอุปการะคนที่เป็นเป้าหมาย เพื่อจะได้ง่ายแก่การดึงดูดเหยื่อเพื่อ ทำการล้างสมองหรือสร้างเงื่อนไขให้ติดกับสำนักลัทธิ จ้าวสำนักมักใช้สถานะภาพความเป็นปรมาจารย์ในการเอาเปรียบหรือขอ favor พิเศษจากลูกศิษย์ที่หว่านล้อมสำเร็จแล้ว

แน่นอนว่าความโอบอ้อมอารีย์ที่จ้าวสำนักอันตรายเหล่านี้มอบให้มักจะถูกใช้เป็นกลไก ในการขอบางอย่างกลับคืนหรือใช้เป็นสิ่งกดดันต่อรองให้ลูกศิษย์และสาวกต้อง ตอบแทนบางอย่างกลับเสมอไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง ลัทธิบางลัทธิอาจให้สาวกอุทิศทุนทรัพย์หรือ กาย ในกรณีร้ายแรงก็อาจมีให้พลีชีพก็มีอย่างลัทธิ Heaven’s Gate กับ อวม ชินริคิว เป็นต้น ให้ระวังไว้เสมอเมื่อจ้าวสำนักหรือคนที่เป็นครูเริ่มมีพฤติกรรมพยายามขออะไร บางอย่างจากเราแบบไม่เหมาะสม โดยใช้ประโยชน์จากความเป็นครูพยายามให้เราเกรงใจ

จ้าวสำนักมีความหลงตัวเองสูง และมักจะเกลียดการเสียหน้าเป็นที่สุด

Narcissist Complex เป็นอาการหลงตัวเองขั้นรุนแรงที่จ้าวสำนักมโนมาสเตอร์หลาย คนมักจะมีกัน ดังนั้นหากจ้าวสำนักหรือครูในสำนักชอบมีความรักสวยรักงามห่วง look ของตัวเองมากจนดูผิดคนปกติทั่วไปให้ระวังไว้ก่อนก็ดี คนพวกนี้มักจะต้องการให้คน เชิดชูบูชาและเกลียดการเสียหน้าโดยเฉพาะต่อหน้าลูกศิษย์มากเป็นที่สุด พวกคนเหล่านี้ จึงมักจะชอบมีลักษณะนิสัยพูดเชิดชูตัวเองเพื่อให้ดูเหนือกว่าคนอื่น แต่พอเวลาถูก ท้าทายมักจะโกรธเป็นฟืนเป็นไฟ หรือไม่ก็จะท้าทายกลับเพื่อพยายามรักษาหน้าตัวเอง

ลองพยายามสังเกตุให้ดีว่าคนพวกนี้ลึกๆมักขาดความมั่นใจในวิชาของตัวเอง และหากเกิดการประลองขึ้นมาจริงๆ จ้าวสำนักและครูเหล่านี้จะพยายามตั้ง condition ให้ตัวเอง ได้เปรียบเสมอ หรือจะต้องมีกลไกเงื่อนไขให้การประลองเกิดขึ้นได้ยากมาก หรือผู้จะมา ประลองต้องยอมเสี่ยงอะไรบางอย่างสุดๆ ดดยจ้าวสำนักเหล่านี้จงใจวางแผนทำให้คน ส่วนมากไม่กล้าที่จะท้าทายจนไม่รับคำท้าเอง และจ้าวสำนักก็จะทำตัวเสมือนว่าตนเอง ชนะแล้วเพราะไม่มีคนกล้ารับคำท้า

ซึ่งหากมีคนรับคำท้าและโค่นล้มทำให้จ้าวสำนักเสียหน้าได้จริงๆ ก็มักจะมีข้ออ้างและ กระบวนการแก้ต่างหรือบิดเบือนข้อเท็จจริงต่างๆออกมาเสมอ เช่นการตัดต่อคลิปให้ดู เหมือนเป็นอีกอย่าง, การให้สาวกไปสร้างข่าวลือผิดๆ รวมไปถึงข้ออ้างยอดนิยมอย่าง เช่น “วันนั้นป่วย" หรือ “ตัดสินใจไม่เอาจริง”

ในกรณีที่แยบยลที่สุด จ้าวสำนักหัวหมอพวกนี้ก็อาจใช้การสร้างสถานะการณ์เช่นการ ประลองยุทธแบบจอมปลอมโดยใช้บุคคลที่ 3 มาช่วยเป็นตัวกลางเพื่อเป็นเครื่องมือใน การซักฟอกตัวเอง ดังเช่นที่ เน โอฟาทูร่า เคยแสดงประลองปาหี่กับ นักมวยไทย ที่ดูไม่ เป็นมวยหรือ นักกล้าม ที่ไม่มีใครรู้จักตัวตนใน fight อื้อฉาวของวงการในอดีตมาแล้ว


ครูตอง วันชิน วิเคราะห์ การแข่งของ เน โฮฟาทูร่า และ ต้น นักกล้าม

ใน Part ที่ 2 ของบทความ ผมจะขอพูดถึง “ลักษณะของสำนักที่มีความเป็นลัทธิอันตรายที่ควร หลีกเลี่ยง” ที่จะเจาะถึงพฤติกรรมและวัฒนธรรมของสำนักศิลปะการต่อสู้หรือค่ายที่ใช้กลไกของ จิตวิทยาลัทธิในการสร้างกระบวนการล้างสมองได้อย่างไรครับ

Comment